อยากย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นค่ะ

คือเรามีแพลนกับแม่ว่าพอเรียนจบจะย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นแบบถาวรเลย คือทำได้มั้ย ต้องทำะไรบ้าง คือเราไม่รู้อะไรเลย แล้ว permanent id ต้องทำยังไงบ้างอ่ะคะ? ขอผู้รู้แนะนำด้วยค่ะ>/\<

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 78
เพิ่งได้กลับมาอ่านกระทู้ตัวเองหลังจากผ่านไป6ปีเพราะลืมรหัสค่ะ55555555 ขอบคุณคอมเม้นจริงๆค่ะที่ตอบอย่างสุภาพและได้สาระเน้นๆกับคำถามของเด็กม.ต้น🤣 ตอนนี้จขกทเรียนอยู่สถาบันไทย-ญี่ปุ่นค่ะ รอได้ไปแลกเปลี่ยนอยู่เหมือนกัน ตอนนี้เป้าหมายลดลงมาเป็นการทำงานบริษัทที่ญี่ปุ่นแทนค่ะ ขอบคุณทุกคอมเม้นที่ช่วยตอบจริงๆค่ะ💗
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
เราเรียนญี่ปุ่นมาจะแปดปีแล้วค่ะ อยู่ญี่ปุ่นมารวมๆแล้วก็เกือบจะสองปีกว่าค่ะ เดาจากการที่ จขกท ตั้งกระทู้แบบนี้ เราเดาว่า จขกท คงไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นและค่อยมีความรู้เกี่ยวกับญี่ปุ่นเท่าไหร่ คือไม่ได้คลุกคลีอยู่กับสายทางนี้ (เพราะถ้าเป็นคนที่คลุกคลีกับสายทางนี้ จะรู้ลู่ทางในการไปทำงานที่ญี่ปุ่นค่ะ) เราอยากให้ จขกท คิดดีๆ ก่อนจะตัดสินใจนะคะ คนญี่ปุ่นยังพูดเองค่ะว่า ญี่ปุ่นมาเที่ยวคงสนุกแต่มาอยู่จริงๆคงไม่สนุก แล้วเราซึ่งเป็นต่างชาติ พูดตรงๆนะคะว่าไม่ได้อยู่สบายแบบที่ จขกท จินตนาการไว้แน่นอนค่ะ

1.ประเทศญี่ปุ่นเป็นเกาะ ตั้งแต่อดีตมาญี่ปุ่นไม่มีการปะปนทางเชื้อชาติ สังคมญี่ปุ่นยังไม่ค่อยยอมรับชาวต่างชาติเท่าที่ควรค่ะ ยังมีการ discrimination คนต่างชาติอยู่ คือสมัยนี้ก็น้อยแล้วค่ะ แต่จะพูดว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ค่ะ นอกจากนี้ระบบอะไรในการรองรับคนต่างชาติก็ยังไม่ค่อยมีค่ะ เช่น บ้านเช่า อพาร์ทเม้นอะไรพวกนี้ ไม่มีคนรับรอง (guarantor) ที่เป็นคนญี่ปุ่นหรือบริษัทที่ทำงานรับรองให้ ก็เช่าไม่ได้นะคะ

2. ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรม うちとそと เราไม่รู้ว่ามันเรียกภาษาไทยว่าอะไร ขอเรียกว่า วัฒนธรรมคนนอกกับคนใน ล่ะกันนะคะ คือจะอธิบายยังไงดีล่ะ เป็นการแบ่งแยกคนรอบตัวของตัวเองน่ะค่ะ คนในคือคนในครอบครัว คนใกล้ตัว คนที่ทำงานเดียวกัน คนนอกคือคนนอกเหนือจากที่กล่าวไปอ่ะค่ะ การใช้ภาษา การปฏิบัติตัวระหว่างคนนอกกับคนในก็จะต่างกัน ถ้าอ่านมังงะหรือดูหนังละครของญี่ปุ่นจะเห็นว่าคนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเพื่อนพ้องมาก  (仲間意識) แบบมากกกกกกก คนต่างชาติอย่างเราๆเป็นได้แค่คนนอกค่ะ เหตุผลเพราะว่าเราเป็นต่างชาติค่ะ เราไม่มีทางเข้าใจคนญี่ปุ่นหรือความคิดแบบญี่ปุ่นได้เพราะเราเป็นต่างชาติค่ะ ขนาดทำงานในบริษัทเดียวกันซึ่งปกติจะพิจารณาเราเป็นคนในโดยปริยายก็ยังคิดกับเราเป็นคนนอกตลอดค่ะ ชาวต่างชาติที่ได้เป็นคนในของเขาเรียกว่ายากมากค่ะ แต่ถ้าได้เป็นคนในของเค้าแล้วเค้าก็จะดีกับเรามากๆๆๆๆเลยล่ะค่ะ (แต่นั่นแหละค่ะ จะเป็นคนในได้ก็โคตรยาก)

3.ระบบการเข้าทำงานที่คนญี่ปุ่นก็บ่นว่ายากโคตรๆแล้ว ต่างด้าวอย่างเราจะเหลือเหรอคะ ต่างด้าวอย่างเราก็ต้องเข้าทำงานด้วยระบบเดียวกันค่ะ
อย่างไม่มีข้อยกเว้น สอบข้อสอบเดียวกัน สัมภาษณ์เหมือนกัน เอาตรงๆนะคะ เราเรียนมาแปดปี เรายังไม่มั่นใจภาษาญี่ปุ่นของเราเลยค่ะว่าเราจะสอบแบบคนญี่ปุ่นได้ ระบบรับคนต่างชาติเข้าทำงานไม่มีเหรอ?มีค่ะ แต่น้อยและก็ยากอีกเช่นเดิม อย่างน้อยก็ต้องรู้ภาษาญี่ปุ่นอย่างดีค่ะ แล้วการทำงานที่โหดได้ใจ คอมเม้นต์บนๆก็พูดไปบ้างแล้ว โหดจริงๆ ใช้งานคุ้มจริงๆ ค่ะ เหนื่อยจริงๆค่ะ ที่นี่มีทำงานจนตายนะคะ อย่าหาว่าเล่นๆนะคะมีจริงๆ 過労死 ลองก็อปไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตได้ค่ะ

4.ถ้า จขกท เป็นผู้หญิงความยากลำบากในการทำงานที่ญี่ปุ่นยิ่งเพิ่มเป็นสองเท่าค่ะ ยิ่งถ้า จขกท จะแต่งงานกับคนญี่ปุ่นด้วยแล้ว ทางเลือกของ จขกท มีสองทางค่ะ คือแต่งงานแล้วออกจากงานมาเลี้ยงลูกอยู่บ้านเป็นแม่บ้าน กับทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย ซึ่งผู้ชายญี่ปุ่นไม่ทำงานบ้านไม่เลี้ยงลูก ทำงานข้างนอกอย่างเดียวค่ะ ความคิดเรื่องผู้หญิงอยู่บ้านทำงานบ้านเลี้ยงลูก ผู้ชายออกไปทำงานหาเงินข้างนอกยังคง strong มากค่ะที่ญี่ปุ่น ปัจจุบันถือว่าดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีขนาดนั้นค่ะ มาที่ทางเลือกที่สองทำงานไปเลี้ยงลูกไป ระบบดูแลผู้หญิงที่ทำงานยังไม่ค่อยมีค่ะ ลาคลอดได้แต่ลาเลี้ยงลุกไม่ได้ แล้วใครจะเลี้ยงลูก?ก็ต้องไปฝากสถานรับเลี้ยง ซึ่งสถานรับเลี้ยงเด็กที่นี่ขาดแคลนค่ะ เป็นปัญหาสังคมญี่ปุ่นอยู่เลยค่ะ ในที่สุดผู้หญิงก็ต้องออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงลูกค่ะ นอกจากนี้ผู้หญิงยังไม่ค่อยโตในที่ทำงานด้วยค่ะ แต่ก็แล้วแต่บริษัทค่ะ บางบริษัทก็เอื้อกับผู้หญิงมากๆ ก่อนจะทำงานก็ต้องหาข้อมูลค่ะ

และยังมีข้อยิบย่อยอีกเยอะค่ะ ที่ไม่เอื้อกับการอยู่อาศัยของต่างด้าวอย่างเรา อยากให้ลองไปหาข้อมูลเองค่ะ
ที่เขียนมาทั้งหมดนี่ไม่ได้จะให้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะมาอยู่ไปเลยนะคะ แต่อยากให้ลองกลับไปคิดดูเยอะๆ ไม่ต้องเชื่อที่เราเขียนมาก็ได้ค่ะ สิบคนว่าก็ไม่เท่าตาเห็นค่ะ ลองมาเรียนมาอยู่สักพักดูก่อนก็ได้ค่ะ แล้วค่อยๆคิดว่าจะยังไงในอนาคต คนไทยชอบมีความดิดว่าอยู่ต่างประเทศสบาย จริงๆแล้วอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 9
คุณควรไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นก่อน เพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิต แล้วคุณจะเข้าใจเองว่า คุณจะอยู่ได้จริง ๆ หรือเปล่า

ลูกผมจบปริญญาโทที่ญี่ปุ่น ผ่าน JLPT N2 หลังจากอยู่มา 2 ปี ก็มีความเห็นว่า ญี่ปุ่นเหมาะแก่การไปเที่ยวมากว่าการอยู่อาศัย

อันนี้คือ เขาคิดแบบคนไทย ที่คุ้นชินกับการใช้ชีวิตแบบไทย ๆ ที่ .... ใช้ชีวิตผ่อนคลายกว่าญี่ปุ่นเยอะ ...

แต่ก็ไม่รู้ว่า ชีวิตญี่ปุ่นในต่างจังหวัด จะผ่อนคลายกว่าแค่ไหนอย่างไร พอดีเขาเรียนในโตเกียว ก็อาจเห็นและเข้าใจแต่การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่

จากมุมมองภายนอก ผมว่าสิ่งแรก ๆ ที่ต้องปรับตัว คือ ความเป็นระเบียบ มีวินัย ซึ่งจะติดตามตัวคุณทุกย่างก้าว

บางเรื่องที่เป็นเรื่องง่าย ๆ สำหรับคนไทย แต่เป็นเรื่องซีเรียสของคนญี่ปุ่น อย่างเรื่องการทิ้งขยะ ว่ากันตั้งแต่การแยกขยะ เรื่อยไปถึงการทิ้งขยะชิ้นใหญ่ ซึ่งต้องมีขั้นตอน และเห็นว่ามีค่าใช้จ่ายด้วย ไม่ใช่แค่เข็นมาไว้หน้าบ้านรอให้รถขยะมาเก็บไป เรื่องนี้เป็นเรื่องดี แต่คนไทยไม่คุ้น แค่นั้น

จะไปไหนมาไหน แสนสะดวก ขนส่งมวลชนเขาดี แต่ ... ประชาชนมากมาย แออัดยัดทะนาน แถม โดยรวมแล้วคงต้องเลือกใช้ขนส่งมวลชนเป็นหลัก จะขับรถไปจอดที่ทำงาน ที่ห้าง ที่ศูนย์การค้า แล้วไปกินข้าว ซื้อของ ดูหนัง แล้วขับกลับบ้านชิล ๆ คงไม่ง่าย เพราะมันไม่น่าจะง่ายตั้งแต่การมีรถ ... ที่ต้องมีที่จอดด้วย ... แล้วแหละ

ว้า .... ยุ่งมากมาย ใครอยากอยู่ในเมืองหา ... อยู่ชานเมืองก็ได้ .... ก็จริงครับ แต่ย่านชานเมือง ผมก็เห็นว่าส่วนใหญ่มันก็ยังเป็นอพาร์ทเมนท์แหละ คือเป็นอาคารพักที่ไม่สูงเหมือนคอนโด มีบ้านเดี่ยวก็จริง แต่ก็แบบญี่ปุ่นอีกแหละ คือ เกือบเต็มเนื้อที่ คงไม่ค่อยมีที่ทำสวนหรือสนามหญ้าแบบบ้านเรา บ้านที่มีบริเวณ ก็มักจะเป็นท้องนาซะส่วนใหญ่

คุณอยู่เมืองไทย มีโอกาสมีบ้านเป็นสัดส่วน มีสนาม ปลูกต้นไม้ใบหญ้าได้ตามอัธยาศัย แต่คงจะทำอย่างนั้นได้ยากที่ญี่ปุ่น ในเมืองใหญ๋ แต่ต่างจังหวัดก็คงดีขึ้นมั๊ง แต่เรื่องพวกนี้มองข้ามไปก็ได้

ยังไม่พูดถึงอากาศ ที่แตกต่างออกไป หน้าหนาวถึงขั้นมีหิมะ หน้าร้อนก็ไม่ต่างจากบ้านเรา แล้ว ฝน ฝน และฝน ขยันตกซะจริง ผมไปมาทุกฤดู ระหว่างทริปก็เจอฝนทุกทริป อย่างน้อย 1 ครั้ง ไม่แต่หน้าฝนหรอก ก็น่าอยู่หรอก เพราะเขาเป็นเกาะนี่นะ

นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องงานอาชีพ ที่คุณต้องมีงานที่มีรายได้ดีพอที่จะใช้จ่ายค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเช่า และสารพัดค่า ที่เป็นคนละราคากับเมืองไทย ซึ่งผมเชื่อว่าแม้คนญี่ปุ่นเอง ก็คงต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา อาจไม่ได้มีชีวิตลั้ลลากินดี มีสุข สักเท่าไร ก็คงสุขแหละ เพราะเขาอาจจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิต การต่อสู้ แบบของเขา แต่เราล่ะ อึดได้เท่าเขาแค่ไหน

พอดีเรากับเค้า ใช้ชีวิตกันคนละแบบ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทำให้หลายอย่างต่างกันโดยสิ้นเชิง ก็ไม่ใช่ว่าแบบของเขาจะไม่ดี แล้วของเราดีเลิศประเสริฐศรี เพียงแต่ เราก็ชินแบบของเรา เขาก็ชินแบบของเขาไง

อีกอย่างที่สำคัญคือภาษา คุณมีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาญี่ปุ่น ฟัง พูด อ่าน เขียน แค่ไหน จะทำงานกับเขา ก็ต้องพูดภาษาเขาให้ได้ ไม่สบาย ไปหาหมอ ก็ต้องคุยกันรู้เรื่อง ไรงี้

ไม่ใช่ว่าสอบ JLPT N1 ได้แล้ว (ซึ่งก็ไม่ง่าย คนที่เรียนจบ ป.ตรี เอกญี่ปุ่น โดยจบศิลปญี่ปุ่นมาในชั้นม.ปลาย ก็ใช่จะสอบได้เสมอไป)  จะรู้ภาษาญี่ปุ่นแบบแตกฉานได้แบบคนญี่ปุ่นนะครับ เรื่องคำศัพท์ ไวยากรณ์ นี่คงผ่านแหละ แต่การฟัง การพูด การเขียน ต้องใช้ทักษะเพิ่มแหละ แล้วมันจะมาจากไหน เวลาครับ เวลาและโอกาสที่จะเรียนรู้สัมผัสฝึกฝนไปเรื่อย ๆ จึงจะสร้างทักษะขึ้นมาได้

ผมก็ว่ามาแต่มุมดาร์คทั้งนั้นเลย แต่ที่สุดแล้ว เหนือสิ่งอื่นใดคือ ความฝัน ความตั้งใจของคุณ รุนแรงแค่ไหน

หากคุณมีความฝัน ที่สร้างแรงจูงใจที่เข้มแข็งพอ สักวันคุณก็จะผ่านพ้นอุปสรรคสารพัดเรื่อง (เพราะยังมีเรื่องที่ผมไม่รู้ และไม่ได้เขียนถึงอีกมากมาย) ไปได้ ถ้าไม่หมดแรงใจไปก่อน

ผมไม่ได้ตอบเรื่องขั้นตอนการทำงาน หรือทำไงจะได้ใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น ตามที่คุณอยากรู้เลย ผมว่าก่อนจะถึงตรงนั้น ควรผ่านเรื่องที่ผมได้สาธยายมาข้างต้นซะก่อน ซึ่งผมว่า คณก็รู้อยู่แล้วแหละ แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณได้สัมผัสมาแล้วแค่ไหน

จึงอยากให้คุณได้เจอด้วยตัวคุณเอง โดยการไปเรียนต่อสักสองปี นั่นแหละ แค่ไปเรียนภาษาสามเดือนหกเดือน ก็คงไม่เห็นอะไรสักเท่าไร

สู้ ๆ ครับ ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่